วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ภาพถ่าย High - Key And Low - Key

ภาพแบบ High-Key:
คือภาพที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ไปทางโซนสว่าง โดยเฉพาะสีขาว ซึ่งในทางทฤษฎีบอกเอาไว้ว่า คือภาพที่มีโทนสว่าง 70-80%
การถ่ายไฮคีย์ไม่ใช่การถ่าย over จนเสียรายละเอียด แต่หลายๆคนเข้าใจผิด โดยการถ่าย over จนภาพเสียรายละเอียดของตัวแบบไป
แบบนี้จะไม่เรียกว่าไฮคีย์ อารมณ์ของภาพไฮคีย์นั้นจะออกไปในแนวสดใส เจิดจ้า ดูเนียนตา

การเซ็ตค่ากล้อง:
- โหมดของการวัดแสงจะใช้การวัดแสงเฉพาะจุด (Spot Metering) วัดจุดที่มืดบนตัวแบบ
- การชดเชยแสง ภาพ High-Key จะชดเชยแสงไปทางบวก ไม่เกิน 1-stop

สถานที่:
สถานที่ยอดฮิตในการถ่ายไฮคีย์ที่เห็นได้บ่อยๆก็อย่างเช่นห้องนอนขาวในชุดนอนขาว เป็นต้น











ภาพแบบ Low-Key:
ภาพโลว์คีย์จะตรงกันข้ามกับไฮคีย์ หมายถึงภาพที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาพจะเป็นโซนมืด โดยเฉพาะสีดำ
การถ่ายโลว์คีย์นิยมการเล่นแสงเล่นเงา ถ้าเป็นแนว portrait, นู๊ด ก็จะเป็นแสงที่ส่องมาจากทางทิศด้านข้างซะเป็นส่วนใหญ่
การถ่ายโลว์คีย์ไม่ใช่การถ่ายติดอันเดอร์ ขอย้ำว่าไม่ใช่การถ่ายติดอันเดอร์ พื้นที่ส่วนที่เป็นส่วนสว่างยังคงได้รับแสงพอดี ในขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆเป็นโซนมืด
อารมณ์ของภาพโลว์คีย์จะเป็นในแนวลึกลับ น่าค้นหา ถ้าเป็น portrait ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยให้นางแบบยิ้มกัน อารมณ์ของตัวนางแบบอันนี้สำคัญครับ

การเซ็ตค่ากล้อง:
- โหมดของการวัดแสงจะใช้แบบเฉพาะจุดที่ให้ความแม่นยำที่สุด โดยวัดที่จุดสว่างของแบบ
- การชดเชยแสง ภาพแบบ Low-Key จะชดเชยแสงไปทางลบ 1-2 stop
- การถ่ายภาพโลว์คีย์ นอกจากโทนภาพ เสื้อผ้า และฉากหลังแล้ว การปรับค่ากล้องส่วนอื่น คือให้เร่ง Contrast ให้มากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อให้ความแตกต่างของสีเด่นชัดขึ้น

สถานที่:
สถานที่ยอดฮิตที่เห็นถ่ายโลว์คีย์กันบ่อยๆ ก็อย่างเช่นตึกร้างเมืองทองตรงห้องที่มีแสงข้างเข้ามาทางเดียว








อ้างอิงจาก http://www.5gphotos.com/www/index.php?topic=490.0

การตัดเส้น + ลงสีด้วยโปรแกรม SAI (เมาส์หนู)


การตัดเส้น + ลงสีด้วยโปรแกรม SAI (เมาส์หนู) 


อย่างแรกเลยก็จะหาภาพต้นแบบก่อนนะครับ ซึ่งคือภาพนี้!!



หลังจากได้ภาพต้นแบบมาแ้ล้วเราก็มาสร้าง เลเยอร์ เส้น (Line Layer) 
 

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.


หลังจากที่สร้าง เลเยอร์เสร็จแล้วเลือกที่เครื่องมือ Curve เลยครับ (เวลาตัดเส้นผมใช้เครื่องมือนี้แหละครับ)
หลายๆ คนน่าจะรู้ว่าเจ้าเครื่องมือนี่มีความสามารถยังไง ทำอะไรได้บ้างนะครับ ถ้ามีใครสงสัยก็ถามได้เลยนะครับ

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.


^
หลังจากนั้นก็เลือกสี เลือกขนาด เลือกหัวได้ตามสบายเลยครับ เสร็จแล้วเราก็มาตัดเส้นกัน!!

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
จะเห็นได้ว่าเข้าเครื่องมือ Curve นี้สามารถทำเส้นโค้งได้อย่างง่ายดายมากครับเราสามารถปรับเปลี่ยน
ทิศทางได้ อิศระโดยการใช้เครื่องมือ Edit นะครับเราสามารถลากไปในทิศทางที่เราต้องการได้เลย
แต่ผมไม่ได้ใช่เครื่องมือตัวนี้ครับเพราะว่าผม ขี้เกียจ กดเปลี่ยนเครื่องมือบ่อยๆแต่เราสามารถกดคำสั่งอื่น
หรือ คีย์ลัด นั่นแหละ(มั้ง) ส่วนทำยังไงนั้นเราไปดูรูปกันต่อเลย

นี่คือวิธีของผมนะครับ! ผมจะทำเส้นจากภาพข้างต้นนะครับ

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
หลังจากเราทำเส้นได้แล้ว ให้กด Ctrl (คอนโทรล) ที่แป้นพิมน่ะครับ มันจะทำให้เราสามารถลากเส้นได้
เหมือนที่เราใช้เครื่องมือ Edit เลยครับ ทีนี้หล่ะคล่องมือ!! หลังจากนั้นก็ลากไปเลยครับตามแบบของเรา


หลังจากที่ได้เส้นตามที่ต้องการแล้ว คราวนี้เรามาทำให้ เส้นคม กันบ้างนะครับ
ให้เราเลือกไปที่เครื่องมือ Pressure เลยครับ

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
เจ้าเครื่องมือตัวนี้สามารถทำให้เส้นของเราดูคมได้! จริงๆไม่ใช่คมหรอกครับมันเป็นการทำให้เส้นของเรา บาง-หนา นั่นเอง
วิธีคือ หลังจากที่เลือกเครื่องมือนี้ ให้เราเอาเมาส์ไปชี้ที่เส้น ที่เราต้องการ
จำทำให้ดูคมนะครับ หลังจากชี้แล้วจะเป็นแบบนี้!!  
v

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
จะเห็นได้ว่ามี จุดสีเขียว และ จุดสีเหลือง นะครับนั่นเป็นจุดที่เราสามารถทำให้เส้น หนา หรือ บาง ได้นะครับ วิธีการก็คือ ไปกดค้างไว้ตรงจุดที่เราจะทำนะครับ แล้วลากเอา (เหมือน Curve แหละ)
- ถ้าหากลากไปทางซ้าย จะทำให้เส้นบางครับ
- ถ้าหากลากไปทางขวา จะทำให้เส้นหนาขึ้น
ดูภาพประกอบเลย!!

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.


หลังจากทำเส้นให้ดูคมได้แล้วเราก็ จัดการตัดเส้นให้เสร็จทั้งภาพเลยครับ ~~

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
หลังจากตัดเส้นเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่ยากแสนจะยากคือการลงสีนั่นเอง (เฮ้ออ~)
ในขั้นตอนนี้ผมอาจจะแนะนำอะไรได้ไม่มากนะครับ มันก็แล้วแต่ความสามารถของคนเรา
ซึ่งผมเองก็ยังไม่เก่งนั่นเอง =w= อภัยด้วยครับ

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
ขั้นตอนแรก ไปที่ เลเยอร์เส้น แล้วเลือกเครื่องมือ Magic wand ตามรูปเลยครับ
จากนั้นให้จิ้มไปที่จุดที่เราต้องการจะลงสีนะครับ(ในที่นี่ผมเลือกเป็น ลูกตา) แล้วมันจะเป็นแบบนี้!!?

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
จะเห็นได้ว่าจุดที่เราเลือกมันจะเป็นสีน้ำเงิน นะครับหลังจากนั้นก็สร้าง เลเยอร์ (ข้างๆ เลเยอร์เส้น) ขึ้นมานะครับใส่ชื่อให้เรียบร้อย (กันลืมและง่ายต่อการแก้ไข) 
ปล. อย่าลืม เวลาทำการ Selection โดยใช้ Magic wand ต้องมาที่ เลเยอร์ เส้นก่อนทุกครั้ง!
จากนั้นก็ใส่สีที่ต้องการไปเลยครับ (สีจะไม่ออกนอกกรอบที่เราเลือกไว้ครับ)
หลังจากนั้นให้เราสร้าง เลเยอร์ใหม่ อีกอันนึงแล้วไปติ้กที่ Layer clip นะครับตามภาพเลย!

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
การทำแบบข้างต้นนี้จะทำให้เราสามารถลงสีได้ไม่ออกนอกสีที่เราลงไว้แล้วนะครับ แล้วก็จะไม่ทำให้สีทับกันด้วยเพราะอยู่คนละ เลเยอร์ นั่นเอง
หลังจากนั้นก็จัดการลงสีต่อเลยครับ (เวลาเปลี่ยนสีผมก็จะทำแบบข้างต้นแหละครับจะได้ง่ายต่อการแก้ไขด้วยครับผม)
ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ =w= 

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
หลังจากทำส่วนตาเสร็จแล้ว เราก็ทำแบบเดิมเลยครับ ไปในส่วนอื่นๆ ต่อกันเลย !!

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.

^
สีผิวครับ 
(เราสามารถ นำสีของภาพอื่นๆ มาใช่ได้นะครับโดยการโยนรูปที่เราต้องการนำสีมาใช้
ลงในโปรแกรมแล้ว ใ้ช้เจ้าเครื่องมือตัวนี้นะครับ หรือ คลิกขวา เอาก็ได้ครับ)

This image has been resized. Click this bar to view the full image. The original image is sized 1280x1024.


หลังจากนั้นก็ทำตามขั้นตอนเดิมๆ ลงสีต่อในส่วนอื่นเลยครับ =w=



เมาส์หนูก็ทำได้นะครับ เพียงแต่ต้องมีฝีมือ ความพยายาม ความอดทน รับรองไม่แพ้เมาส์ปากกาหรอก!! (มั้ง)
เครื่องมือที่ผมใ้ช้ในการลงสีหลักๆ เลยก็คือ
1. Magic wand
2. Deselect
3. Air brush
4. Blur
5. Eraser
6. Bucket

คีย์ลัดต่างๆ (เสริม)
1. ขยับภาพ (กด Space bar ค้างไว้แล้ว เลื่อนเมาส์ก็จะสามารถขยับภาพได้โดยไม่ต้องไปเลื่อนตัวเลื่อนข้างๆ)
2. คลิกขวา (เพื่อดูดสี นำมาใช้งานโดยไม่ต้องไปกดที่เครื่องมือ)
3. เพิ่มขนาดของหัวปากกา-หัวบรัชต่างๆ (กด Ctrl + Alt แล้วคลิกเมาส์พร้อมกับลาก จะสามารถปรับขนาดของหัวได้)
4. หมุนภาพ (กด Space bar ค้างไว้ แล้วกด Alt จะทำให้หมุนภาพได้)
5. เปลี่ยนสิ (กด Ctrl + U จะทำให้สามารถเปลี่ยน สี-ความเข้มของสีนั้นๆ  ในเลเยอร์นั้นๆ ได้)
6. แก้ไขเส้น-สี ปรับขนาด ฯลฯ (กด Ctrl + T ในเลเยอร์ที่ต้องการแก้ไข หรือทำการ ลด-ขยายขนาดได้)

อ้างอิงมาจาก http://www.nipponanime.net/forum/fan-art/howto-sai-()-style-lucky-!!/

แมวเปอร์เซีย

                  แมวเปอร์เซีย






แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

           แมวเปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

           ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง 

           นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian

 ลักษณะสายพันธุ์

           แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

           สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น 

           อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้

            1.Solid colour  ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส,cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

            2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

            3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ                  Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

            4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

            5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทาง                        โครโมโซม

            6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า                อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

            7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย                  จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือน                    หน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส

 อาหารและการเลี้ยงดู

           อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น

           เกรดเพ็ด(PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา

           เกรดทำพันธุ์และโชว์(Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน

           นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์ 

           เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

           ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้

 โรคและวิธีการป้องกัน

           โรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

           อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา 

           เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วย

           แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป


วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สอนวิธีใช้โปรแกรม lightroom

สอนวิธีใช้โปรแกรม lightroom


เรามาพูดถึงคอนเซ็ปการทำงานหลังจากได้ไฟล์ภาพมาแล้วครับ ตอนนี้เราจะมีภาพ 3 ประเภทอยู่ใน memory แล้วครับ ภาพทั่วไป(เพื่อน,ญาติ),ภาพเซ็ตถ่าย และภาพเสีย เราก็จะมาแบ่งมันออกเป็นสามส่วนโดยใช้ tools ช่วยครับ
      ถ้าบ้านๆเลยเราจะใช้ Photoshop เดี่ยวๆในการแต่งภาพ แยกไฟล์เป็นโฟลเดอร์แล้วค่อยๆ import เข้ามาใน PS แต่งๆๆ (อาจจะทำ actions ไว้เพื่อความเร็ว) แล้วก็เซฟ ซึ่งการทำแบบนี้เป็นการใช้ทรัพยากรแบบสิ้นเปลืองมากๆ(สุขภาพ,memory,เวลา) ถ่ายมาสามสี่งานอาจจะตายหน้าคอมได้ หรือคอมอาจจะพังไฟล์หายก่อนส่ง เพราะ Photoshopไม่ได้ออกแบบมาให้ใช้กับสไตล์การทำงานกับไฟล์ภาพหลายๆไฟล์ครับ
       มันถึงได้มี Photoshop lightroom ออกมา เจ้า LR นี้จะเป็นลูกของ PS ซึ่งจะรวบเอา features .ใน PS ที่จำเป็นสำหรับช่างภาพ และเพิ่ม features ที่จำเป็นอื่นๆเข้ามา เช่น การจัดการ collection ภาพ,Camera calibration by metadata หรือ Export feature

   1. การแบ่งภาพเป็นส่วนๆ

ตรงนี้สำคัญมากครับ เราจะใช้ feature การให้ "Rate"(ดาว) ของภาพในการจำแนกภาพออกเป็นกลุ่มครับ (บางคนใช้ flag) เรามาเริ่มตั้งแต่การ สร้าง catalog กันเลยครับ
 
 
 ไปที่ file > New Catalog

 
ตั้งชื่อ Catalog
 
 
ได้ Catalog มาแล้ว เราก็เริ่ม Import ไฟล์ภาพเข้า
 
 
Browse ไปที่ Folder เก็บไฟล์ของเรา กด Check All เพื่อเลือกทั้งหมด จากนั้นกด Import ครับ
 
 
ภาพทั้งหมดก็จะมาอยู่ใน Catalog ของเราแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่ tab Library ครับ เพื่อจัดการเรื่อง Rating กันก่อน กดเลข keyboard เพื่อให้ Rate ได้เลยครับ ตรงนี้ให้เราเลือกดูรูปเลยครับ ตามประเภทข้างบน ภาพหมู่รวมๆ(ไว้ Rate 2) ภาพกะแต่งจริงจัง(ไว้ Rate 1) ภาพเสีย (ไว้ Rate 3)
 
 
จะสังเกตุว่าตอนนี้ Catalog เรายังแสดงผลภาพทุก Rate อยู่ ให้เราไปปรับตรง filter ครับ ให้เป็น Rating is equal to เลย จะได้แสดงผลเฉพาะ กลุ่มที่เราแบ่งไว้เป็นกลุ่มๆเท่านั้น 
 
 
 เสร็จสิ้นแล้วครับสำหรับการแบ่ง Rate ภาพเพื่อง่ายต่อการแต่ง
 

2. การใช้ Preset ช่วยในการแต่ง

     Preset ใน LR ก็คล้ายๆ Action ใน PS แหล่ะครับ เพียงแต่ Preset จะคุมแค่ค่า Parameter ต่างๆที่เข้ามาทำกับไฟล์ของเรา ไม่ได้ record ทุก Activities เหมือน Action บน PS 
 คอนเซ็ปการนำ Preset มาช่วยในการแต่งภาพก็คือ ใช้ปรับปรุงแสงของภาพทีละหลายๆภาพพร้อมๆกัน อันนี้จะใช้ได้ในกรณี ถ่ายมาในสภาพแสงเดียวกัน (เช่น เซ็ตนี้ถ่ายบนอาคารเรียน หรือสถานที่ปิด แสงแน่นอน) เทคนิคนี้จะช่วยย่นเวลาในการแต่งภาพ เพื่อนๆญาติๆ ที่เราไม่ได้ตั้งใจจะเจาะลงไปแต่งได้ดีทีเดียว
 
เราย้ายไปที่ Tab Develop กันเลยครับ
 
 
จากนั้นให้เราเลือกภาพจากชุดแสงนั้นๆมาแต่งหนึ่งภาพ แนะนำว่าอย่าอัดค่าต่างๆลงไปตูมเดียว แต่งบางๆ พอให้ไม่หลุด histogram พอครับ เรื่องสีก็ย้อมลงไปที่ Shadow กับ Highlight เบาๆครับ เมื่อได้ที่แล้วกด + ตรง Presets panel เลยครับ จะมีหน้าต่าง ให้เราตั้งชื่อ Preset ใหม่ของเรา และจะให้เลือกว่าเราจะเอาค่าอะไรเซฟลงไปมั่ง ผมเลือกทั้งหมดครับ กด Create เลย
 
 
Preset ใหม่ของเราก็จะมาโผล่ที่ หมวด User's preset ใน Presets panel ส่วนวิธีใช้ก็คือ เลือกที่ภาพแล้ว กดที่ Preset ค่าต่างๆก็จะวิ่งไปเข้าภาพที่เราเลือกทันที (เราเลือกทีละหลายๆภาพเพื่อความเร็ว)
 
 
การใช้ Preset ช่วยเพิ่มความเร็วในการทำภาพก็จริงครับ แต่เราความมาเช็คภาพทีละภาพด้วยนะครับ ไม่ใช่รวบแล้วกด แล้วไปเลย โอกาสภาพจะเพี้ยนมีสูงครับ ตรงนี้ผมจะใช้แค่บางๆ เช่น เพิ่ม Sharpening ย้อม Magenta ทำ vignette ผมจะแยกไว้เลยครับ กดสองสามทีก็ได้ 
 

3. Save ไฟล์ภาพแบบรวดเร็ว 

   แต่เดิม เราใช้ PS จะต้องเซฟไฟล์ทีละไฟล์ หรือไม่ก็ต้องใช้ Action สำหรับ Save ในการเซฟ แต่ใน LR เราสามารถ รวบไฟล์ทั้งกลุ่ม แล้วกด Export ออกไปทีเดียวได้เลย ที่เหลือก็แค่นั่งรอ เอาเวลาไปเปิด Illust ทำปก DVD ดีกว่า ฮ่าๆ
 
กดเลือกภาพสักภาพแล้วกด Ctrl+A เลยครับ (Select All) จากนั้นไปที่ File > Export
 
 
เลือก Folder ที่จะ save ลงครับ ส่วนค่าข้างล่างจะเป็น การตั้งชื่อไฟล์ การย่อไฟล์(ย่อแล้วคุณภาพเสียครับ ไปใช้นี่ดีกว่า สร้าง Action resize รูปภาพและ Unsharp Mask ในจึ๊กเดียว ) LR ยังมี Preset สำหรับ save อยู่ข้างๆไว้ให้ใช้อยู่ด้วยครับ ลองดู

 
 

   ภาพ Rate2(เพื่อนๆ ญาติๆ) : ปรับปรุงแสง+สีใน LR > Recheck > Export
   ภาพ Rate1(แต่งจริงจัง) : ขุดไฟล์ ดึงรายละเอียดขึ้นมา > Export > แต่ง + Retouch ใน PS + Save